อยู่ให้รัก จากไปให้คิดถึง

ในชีวิตคนเราจะมีสัตว์เลี้ยงที่เรารักจริงและเค้ารักเราจริงๆ อยู่ซักกี่ตัว หมา แมว นก กระต่าย กระรอก ฯลฯ สัตว์หลายชนิดสามารถนำมาเป็นสัตว์เลี้ยงที่แสนรู้และน่ารักอยู่ไม่น้อย ผมก็เป็นอีกคนหนึ่งที่เคยมีทั้งแมวและหมาที่ผูกพันธ์กันมาก โดยปกติแล้วผมมักเป็นคนไม่ค่อยชอบหมาหรือแมวเท่าไหร่ ต่อให้ดูสวย ฉลาดและเก่งแค่ไหน แต่ก็ไม่คิดว่าจะรักและเอามาเลี้ยงกันง่ายๆ

หลังจากที่หมาตัวแรกที่รักสุดๆ ได้ตายลงไป ในชีวิตนี้ก็ไม่คิดว่าจะได้มีโอกาสเลี้ยงหมาอีกแล้ว เพราะผ่านมากว่า 30 ปีก็ยังไม่เจอตัวที่ใช่อีกเลย ปกติก็ไม่ค่อยถูกชะตากับตัวไหนเป็นพิเศษอยู่แล้ว เพียงแต่เล่นด้วย คุยด้วยเฉยๆ แต่ไม่ได้รักขนาดที่จะจับมาหอมกันได้ นอนกอดกันได้ หรือวิ่งเล่นไปไหนๆ ด้วยกันได้ จะมีก็แมวแถวบ้านที่แอบจับมาเล่นด้วย แต่ไม่ได้ผูกพันธ์กันมาก ซึ่งมันก็ไม่ได้ผูกพันกับเราเช่นกัน

ไอ้ด่าง หมาตัวแรกในชีวิต ย้อนกลับไปตั้งแต่ผมเริ่มจำความได้ที่ จ.กระบี่ ผมมีหมาพันทางอยู่ตัวนึงที่รักมาก ชื่อ “ไอ้ด่าง” มันทั้งฉลาดและแสนรู้ รักเจ้าของ เล่นกับผมตั้งแต่ผมเริ่มหัดเดิน เข้าใจว่าเป็นหมาของพ่อ แต่ผมรักมันเป็นพิเศษ เด็กๆ วัยเท่าผมในตอนนั้น หากมีสัตว์เลี้ยงตัวโปรดซักตัวเค้าจะต้องรักมันเป็นพิเศษอย่างที่ผมรู้สึกกับไอ้ด่าง แต่น่าเสียดาย มันดันไปกัดคนเข้า เหตุผลของมันก็แค่จะปกป้องชีวิตตัวเองจากคนที่ใจร้ายกับมันเท่านั้น มันคงไม่คิดถึงเหตุผลอื่น ก็แค่อยากจะกลับมาหาคนที่มันรัก หลังจากเดินออกจากบ้านไปและเจอกับคนไม่ดีเข้ากลางทางก็เท่านั้นเอง

พ่อต้องจับมันไปฆ่าทั้งน้ำตา น้ำตาของพ่อ น้ำตาของผม และน้ำตาของไอ้ด่าง เพื่อทดแทนเงินที่เราจะไม่ต้องจ่ายให้คนใจร้ายคนนั้น ทดแทนค่ากับข้าวอีกหลายปากหลายมื้อของคนในครอบครัว มันเสียสละชีวิตเพื่อครอบครัวเรา หลังจากที่มันไม่อยู่แล้วผมก็ไม่คิดจะมีหมาอีก มันเป็นตัวเดียวที่ทำให้ผมมีความคิดที่จะไม่ผูกพันธ์กับสัตว์เลี้ยงตัวไหนเป็นพิเศษอีกเลย

เวลาผ่านไป 20 กว่าปี ผมจึงได้มีโอกาสใช้ชีวิตแบบเหงาๆ ในบ้านพี่ชายคนรอง ในสถานที่ชุมชนที่มีบ้านรอบๆ หลายร้อยหลัง แต่น่าแปลกที่เหมือนอยู่ตัวคนเดียว กระทั่งมีเจ้าหมาน้อยชื่อว่า “เป๊ปซี่” หมาพันทางตัวอ้วนกลมอายุ 4-5 เดือนที่พี่สะใภ้เอามาจากไหนไม่รู้ คงตั้งใจว่าจะเอามาให้เฝ้าบ้าน หรือไว้เป็นเพื่อนเล่นสำหรับตัวเค้าเองก็ไม่รู้ แต่ตอนนั้นผมมีโอกาสอยู่บ้านทุกวัน เลยได้คุ้นเคยฝึกสอนอยู่ร่วมเดือน แม้จะเป็นหมาพี่สะใภ้ แต่มันก็ดูจะรักผมมากกว่า ช่างขี่เล่น ฉลาดและแสนซน

สุดท้ายผมจำเป็นต้องย้ายออกจากบ้านนั้นด้วยเหตุจำเป็น ตัดใจทิ้งความเหงาทั้งหมดให้เจ้าหมาเป๊ปซี่รับไปเต็มๆ โดยไม่ได้เหลียวกลับมามองมันอีก หลายปีผ่านไปได้มีโอกาสเจอพี่สะใภ้ที่อยู่กับเจ้าเป๊ปซี่ ถามหาได้ความว่ามันป่วยและเสียชีวิตไปนานแล้ว หลังจากผมออกจากบ้านนั้นได้ประมาณ 3 เดือน

อยู่ให้รัก จากไปให้คิดถึง

ภาพประกอบจาก internet ไม่เกี่ยวกับเนื้อหา

เฮ่อ..ออ เพียงแค่ไม่กี่เดือนที่ผมเดินออกมาจากที่นั่น มันคงจะเหงาและไม่มีใครเล่นด้วย แถมไม่มีใครคอยดูแลกระมัง คงจะเฝ้ารอวันที่ผมจะกลับจนกระทั่งวันสุดท้าย คิดแล้วก็อดสงสารไม่ได้ มันไม่มีโอกาสได้รู้เหตุผลที่ผมเดินออกจากบ้านหลังนั้นด้วยซ้ำ ไม่ใช่ความผิดของมันหรอกแต่เป็นความผิดของเจ้าของมันตะหาก.. ที่ทำให้ผมต้องเดินออกจากที่นั่นโดยไม่หวนกลับไปอีก นั่นเป็นหมาตัวที่ 2 ที่ทำให้ผมรู้สึกสงสาร ผมรู้สึกว่าตัวเองกลายเป็นคนใจอ่อนเกินไปหรือเปล่ากับเรื่องแบบนี้

ความคิดผมหวนกลับไปยังไอ้ด่าง และเหตุผลต่างๆ ที่ผมรับรู้ ผมคงเลิกผูกพันธ์กับสัตว์เลี้ยงจริงๆ ได้แล้วมั้ง

10 กว่าปีให้หลัง นับจากที่เดินออกมาจากบ้านหลังนั้น ผมได้มีโอกาสมาใช้ชีวิตอยู่ที่บ้านของแฟน บ้านแฟนมีหมาเยอะ ผมนับได้มากสุด 10 ตัว ทั้งหมาวัด หมาข้างถนน หมาฝรั่ง หมาไทย ฯลฯ สารพัดหมาๆ โดยในกลุ่มหมาเหล่านั้นมีพุดเดิ้ลหรือพันธุ์มอลทีส ผมก็ไม่แน่ใจชื่อว่า “จูเนียร์” เป็นหมาของพี่สาวแฟน มันชอบอ้อนผม แต่ผมไม่ชอบมัน ก็เลยแกล้งกันบ่อย แต่บางทีก็ดีกับมัน แต่ไม่ได้มีจิตผูกพันธ์ด้วย บางครั้งมันเห็นผมก็หนีกลัวผมจะแกล้ง แต่วันดีคืนดีบางทีมันก็มาอ้อนให้เกาพุงเล่น

junior พ่อ micky อยู่ให้รัก จากไปให้คิดถึง

ในรูป คือจูเนียร์

สองสามปีต่อมาข้างๆ บ้านเค้าเอาจูเนียร์ ไปเป็นพ่อพันธุ์เนื่องจากเป็นหมาพันธุ์แท้ เดือนต่อมาก็ได้ลูกชายลูกสาวมาหลายตัว คนที่เอาจูเนียร์ไปผสมก็ยื่นส่งลูกหมาตัวผู้ให้ 1 ตัว ตั้งชื่อว่า “บัฟเฟอร์” เป็นหมาตัวอ้วนกลมลายดำขาว เจ้านี่ฉลาดแสนซน ผมคลุกคลีกับมันอยู่ตั้งแต่ 2 เดือนแรกที่เค้าส่งมาให้ ทั้งมันและผมไม่ได้เลือกที่จะผูกพันธ์กัน มันไม่เลือกผม และผมก็ไม่ได้เลือกมัน เราทั้งคู่ต่างก็แค่รู้จัก แต่ไม่สนิท ไม่ได้รู้ใจกัน เล่นได้ หัวเราะได้ เดินเล่นกันได้ ทั้งจูเนียร์ ทั้งบัฟเฟอร์ แต่ก็ไม่ได้รักกันเป็นพิเศษเหมือนกับหมาอีกหลายตัวในบ้าน

ผ่านไปปีกว่า ๆ เกือบ 2 ปี ข้างบ้านรายเดิมเอาจูเนียร์ไปผสมอีก 2 เดือนผ่านไปก็เอาลูกสาวตัวดำที่เค้าคิดว่าน่าเกลียด ไม่สวย เอามาให้เป็นของขวัญ ผมสะดุดตากับเจ้าตัวเล็กนี่ เนื่องจากมันคลานตกบ้านตอนมาใหม่ๆ ตัวสีดำสนิท ขนนิ่ม ตัวยาวกว่าพี่น้องของมัน ผมอุ้มไว้ในอ้อมกอด มันร้องหงิงๆ ผมลูบหัวปลอบโยน มันหลับตาซุกอกผมไม่ยอมไปไหน จับวางบนบ้านก็วิ่งเล่นสนุก ตั้งชื่อนั่นชื่อนี่ ก็ดูเหมือนว่าเจ้าของชื่อจะไม่ถูกใจชื่อไหนเลย เลือกกันหลายชื่อจนมาได้ชื่อว่า “มิกกี้” ดูมันวิ่งไปมาเหมือนจะดีใจที่ได้ชื่อนี้ ผมก็อดหัวเราะไม่ได้ เจ้าลูกหมาดำๆ ตัวยาวๆ น่าเกลียดนี้ได้ชื่อว่า “มิกกี้” ตั้งแต่วันนั้นมันตามผมไม่เคยห่างกาย

micky อยู่ให้รัก จากไปให้คิดถึง

รูปมิกกี้

ช่วงนั้นผมอยู่บ้านแฟนแค่เสาร์-อาทิตย์ วันธรรมดาต้องทำงาน แต่เพียงแค่นั้นก็ไม่ใช่ปัญหา ผมเลือกที่จะรักเจ้าหมาตัวนี้มากกว่าตัวอื่น มันก็รับรู้และดูเหมือนว่าจะรักผมมากกว่าทุกคนในบ้านเหมือนกัน ทุกวันในตอนที่ผมมาอยู่ที่นี่มันจะไม่ห่างผมไปไหนไม่เว้นแม้ตอนนอน มันทำแบบนี้ตลอดทุกวัน เดินเล่น ไปไหนมาไหนด้วยกัน เวลาผ่านเป็นเดือน เป็นปี มันจำเสียงรถผมได้ มันจำเสียงผมได้ ไม่ว่าผมจะอยู่ที่ไหนในบริเวณบ้าน มันจะคอยมานั่งใกล้ผม เวลาผมเหงา เศร้า ดีใจ เสียใจจะมีมันอยู่ข้างตัวเสมอ หลายครั้งที่ผมไม่ค่อยสนใจมัน ทำงานหนัก บางเดือนไม่ได้กลับไปหา แต่พอกลับไปให้มันเห็นเป็นต้องวิ่งเข้ามาหา มาเลียหน้าเลียปาก มาให้หอม ให้อุ้มเหมือนลูกคนนึง เวลามันกินข้าว จะมีผมคนเดียวในบ้านที่สามารถจับข้าวในจานที่มันกำลังกินอยู่ได้โดยไม่ถูกกัดหรือขู่ มันไว้ใจผมเพราะรู้ว่าผมรักมัน มันรักผมเพราะรู้ว่าผมรักมัน มันซื่อสัตย์ต่อผมเพราะรู้ว่าผมรักมัน

4 ปีให้หลังผมได้หมาโกลเด้น รีทิฟเวอร์อายุ 2-3 เดือนมา 1 ตัวจากสวนจตุจักร เพราะเจ้านี่ร้องตามผม ทั้งๆ ที่หมาตัวอื่นก็ร้องแต่ทำไมผมได้ยินเสียงมันตัวเดียว ผมผ่านแผงขายหมาที่นี่ก็บ่อย ไม่เคยหยุดหรือจับเล่น แต่ผมได้ยินเสียงเจ้านี่ร้อง ก็เลยหยุดดู เอานิ้วชี้ถามว่าตัวไหนร้อง มันก็ยืนสองขาเลียนิ้วผมโดยที่หมาตัวอื่นเอาแต่เห่าและนอน ผมใจอ่อนกับหมาตัวนี้ทั้งๆ ที่รู้ว่าคนขายหลอกเอาพันธุ์ผสมมาขาย และตั้งชื่อให้มันว่า “หนุงหนิง”

อุ้มมันมาเลี้ยงที่บ้าน เจ้ามิกกี้ดูท่าทางจะหวงผม แรกๆ ไม่ยอมให้หมาตัวใหม่เข้าใกล้เลย แต่คงจะทนความรักของผมไม่ไหวที่ผมเอาแต่อุ้มหนุงหนิง ไม่ยอมอุ้มเค้า ตั้งแต่นั้นเค้าเลยเลิกที่จะดุเจ้าหนุงหนิง แต่หันมาเป็นเพื่อนกันแทน แต่ไม่อนุญาติให้หมาตัวอื่นเข้าใกล้ผมอีกยกเว้นหนุงหนิงตัวเดียว สรุปผมต้องอุ้มหมาสองตัวนี้ทุกครั้งที่ไปไหนด้วยกัน จนกระทั่งหนุงหนิงตัวโต (พันธุ์ผสมโกลเด้น รีทิฟเวอร์ ก็ตัวโตได้) ผมเลยเหลืออุ้มแค่มิกกี้ ซึ่งมันก็ดูท่าจะพอใจเอามากๆ หมาสองตัวนี้ผมผูกพันธุ์มันมาก ความคิดตั้งแต่ตอนไอ้ด่างจากไป หวนกลับคืนมาในหัวผมวันแล้ววันเล่า แต่ก็อดคิดถึงเจ้าสองตัวนี้ไม่ได้ จนละเลยความรู้สึกนั้นไปเรื่อยๆ กลับมารักหมาอีกครั้ง

13-14 ปีมานี้ (นับตั้งแต่ปี ’42) เวลาช่างสั้นนัก มิกกี้มีอายุ 10 กว่าปีแล้ว หูตาฝ้าฟาง ตาขวาเป็นต้อเห็นได้ชัด ตาซ้ายก็เริ่มมีสีขาวขุ่นจางๆ มองเห็นลางเลือน แต่จมูกและหูยังดีอยู่ แม้เค้าจะแข็งแรงแต่ผมก็รู้แน่ว่าซักวันก็ต้องจากไปอย่างไม่มีวันกลับ หมาอายุไม่ยืนเท่าคน แต่ละสายพันธุ์ก็มีอายุเฉลี่ยแตกต่างกันออกไป มิกกี่ในตอนนี้อยู่กับพวกเรามา 15-16 ปี (หมาพุดเดิ้ล/มอลทีส อายุเฉลี่ย 12- 15 ปี) ต้องระวังตอนขับรถกลัวว่าจะแอบวิ่งมารับ-ส่งเหมือนทุกทีจะขับทับเอา ต้องคอยจับขึ้นบ้านบ่อยๆ แม้กระนั้นถึงทำใจอยู่แล้วก็ยังรู้สึกเสียใจไม่หาย เวลาผมไปไหน อยู่ตรงไหนในบ้าน เค้าก็จะคอยมาอยู่ใกล้ๆ ผมไม่ห่าง แม้สายตาจะมองไม่เห็น เมื่อได้ยินเสียงก็จะเดินมาหา บางครั้งก็ชนโน่นนี่นั่นจนเจ็บ แต่สุดท้ายก็จะเดินมาถึง มาคอยนอนหนุนขา ให้อุ้ม ให้กอดเหมือนเดิมไม่เคยห่าง ทำแบบนี้มานานนับสิบปี ทุกวันทุกเวลา ไม่เคยจางหาย

ถึงตอนนี้ผมพิมพ์ไปน้ำตาก็ไหลไป รับรู้ถึงความรักที่มันมีให้ผมไม่เคยเสื่อมคลาย รู้ถึงความซื่อสัตว์ที่ชีวิตหนึ่งจะมีให้แค่หนึ่งคน แม้จะมีคนหลายสิบหลายร้อยคนที่มันพบเจอแต่ก็มีเพียงคนเดียวที่ถูกเลือก แม้ผมจะไปไหน ไม่เจอกันนานแค่ไหน แต่หากได้เจอก็จะเหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยนจนถึงวันสุดท้ายของชีวิต

23 สิงหาคม 57 ผมมีธุระต้องไปข้างนอก (ปกติทำงานวันจันทร์-วันเสาร์) ไม่ได้อยู่กับเค้าตลอด จะมาเล่นก็ช่วงเช้า และเย็นถึงค่ำ และวันอาทิตย์เท่านั้น หลังจากทำธุระเสร็จกลับมาก็ค่ำแล้วในวันเสาร์นั้น เห็นเค้าก็นอนอยู่ที่เดิมลุกย้ายที่นอนได้ไม่ไกลกันมาก แสดงว่ายังเดินไหว ก็เข้าไปลูบๆ เอาน้ำให้กินและเรียกเบาๆ เค้าก็ลุกมากินน้ำเหมือนจะหิว กินไปหัวก็โงนเงนไปเหมือนจะสั่นๆ ไม่ไหว ต้องคอยพยุง ก็คอยลูบหัวให้เกาหลังให้ เกาพุงให้ ยังมีแรงกางขากางแขนให้เกาเหมือนเดิม ให้นอนห่มผ้าให้ พร้อมพุดคุยเบาๆ เรื่องแล้วเรื่องเล่า เวลาเรียกก็เห็นหางกุดๆ สั้นๆ นั้นกระดิกเบาๆ แสดงว่ายังรับรู้ได้ดี (เค้าโดนตัดหางตั้งแต่แรกเกิด)

ตี 2 ก่อนจะเข้านอน (คืนวันเสาร์ผมจะนอนดึกเพราะนั่งดูหนัง) ก็เข้าไปคุยเค้าก็รับรู้ดีปกติ แต่เห็นขนที่ตาเปียกๆ ก็เช็ดให้ พูดเบาๆ ด้วยว่ามิกกี้ร้องไห้อีกแล้ว คุยได้ซักพักก็เข้านอน (ไม่ได้นอนด้วยกันนานแล้วเพราะผมมีลูกเล็กๆ กลัวขนจะทำให้เด็กเป็นภูมิแพ้)

24 สิงหาคม 2557 ตื่นเช้ามา เห็นเค้าย้ายที่นอน แสดงว่าลุกเดินได้อยู่ ก็เลยอุ้มมาให้นอนข้างล่างเพราะผมไม่อยู่บนบ้านช่วงกลางวัน กลัวเค้าจะตกบันไดเวลาเดินหา อุ้มมาวางข้างโอ่งน้ำที่ๆ เค้าชอบนอน หานมให้ก็ไม่กิน กินแต่น้ำมาหลายวันแล้ว เสร็จเรื่องผมก็ไปทำธุระ ปลูกผัก รดน้ำต้นไม้ ฯลฯ เที่ยงกว่าๆ จึงเข้าบ้าน เห็นเค้าย้ายมานอนตรงทางเดิน ก็ไม่คิดอะไร คิดว่าตรงนั้นจะเย็นกว่าที่เดิม กินข้าวอะไรเสร็จผมก็ไปปลูกผักต่อ เจ้าหนุงหนิงก็ตามไปเล่นด้วยเช่นเดิม (ปกติจะไปกันสองตัวคือหนุงหนิงและมิกกี้)

ก็คุยกับหนุงหนิงว่า นานมากแล้วนะที่มิกกี้ไม่ได้มาเล่นสนุกๆ ด้วยกัน ขุดดิน ว่ายน้ำ หานู่นนี่ ไปตามประสาหมาซนๆ ด้วยกัน อยากให้มาเล่นด้วยเหมือนเดิมอีก (ก็รู้ทั้งรู้ว่าเป็นไปไม่ได้แล้ว) ในตอนนั้นคิดถึงเค้า เป็นห่วง กลัวต่างๆ นาๆ เลยวิ่งกลับมาดูเค้าอีกรอบ ไม่เห็นตรงที่นอนเดิมตรงทางเดินแล้ว หายไปไหนนะ เลยหาข้างโอ่ง ก็ไม่เจอ มองใต้ซอกโน่นนี่ เห็นอยู่ตรงขันน้ำ (ขันที่ทำที่วางไว้สำหรับหมาๆ มากินน้ำ) เห็นเค้ายืนตัวโก่งเกร็งๆ ก็คิดว่าจะหิวน้ำ เลยตักน้ำป้อนให้

micky อยู่ให้รัก จากไปให้คิดถึง

รูปมิกกี้

เค้าหันหน้าหนี ตัวโก่งแข็งๆ ขาอ่อนแรงนั่งแทบไม่ได้ ยืนยังไม่ไหวไม่รู้ยืนได้ยังไงกับขาสั่นๆ แบบนั้น เค้าแหงนหน้ามองผมด้วยดวงตาสีขาวขุ่น ขนใต้ตาเปียก ผมมองแล้วน้ำตาไหล พูดกับเค้าเบาๆ “ถ้าไม่ไหวก็ไปเถอะลูก ไปเกิดเป็นคน ไปเกิดในที่ๆ ดี” พร้อมกับแผ่เมตตาให้เค้า ผมคิดอะไรไม่ออก ทำได้แค่อุ้มให้เค้านอนลง แล้วเรียกแฟน บอกว่ามิกกี้จะไปแล้วนะ แฟนก็ตะโกนมาดังๆ เหมือนที่ผมบอก สังเกตุหางกระดิกเบาๆ ตอนผมกับแฟนเรียกชื่อเค้า

เค้าหายใจถี่ๆ ตัวเกร็งครั้งสุดท้าย ปากอ้ามองเห็นลิ้นที่ซีดขาวชัดเจน ผมลูบหัวพูดอยู่แต่คำเดิมเบาๆ ชั่วระยะเวลานั้นลมหายใจค่อยๆ แผ่วลงจนเงียบ แต่เสียงหัวใจยังเต้นอยู่ และค่อยๆ เบาเสียงลงเรื่อยๆ จนไร้เสียงใดๆ อีกเลยตลอดกาล ชั่วเวลาชั่วพริบตาเดียวนั้น สิ้นสุดทรมาน สิ้นสุดรอคอย สิ้นสุดความห่วงหา สิ้นสุดของการพบกันของทั้งสองชีวิต ทุกอย่างหยุดสนิท มิกกี่จากเราไปชั่วกาลแล้วในวันพระวันนั้นเอง น้ำตาผมไหลร่วงนึกถึงวันที่แรกอุ้มตอนเค้าหล่นจากบ้านวันนั้น และวันอื่นๆ ที่อุ้มเล่น พูดคุย พาไปไหนต่อไหน สอนให้ว่ายน้ำ ให้วิ่งเล่นกับหนุงหนิง ตอนเป็นพี่เลี้ยงให้หนุงหนิงเรียนว่ายน้ำ ฯลฯ ไม่มีอีกแล้ว อยู่ให้รัก จากไปให้คิดถึง

ผมขุดหลุมใต้ต้นไม้ที่เป็นจุดที่ร่มรื่นที่สุด ลึก 1 เมตร กว้างพอดีกับตัวเค้า เอาเสื้อที่ผมใส่บ่อยที่สุดแบบไม่เสียดายห่มและห่อตัวให้เค้าแบบหลวมๆ พลางจูบที่หัวเค้าเบาๆ เหมือนทุกครั้ง และเป็นครั้งสุดท้าย แม้ว่าเค้าจะไม่รับรู้อะไรแล้วก็ตาม ค่อยๆ ยกร่างไร้วิญญาณวางลงในหลุม วางดอกไม้ที่พอจะหาได้ วางขนมที่เค้าชอบ และอื่นๆ อีกเล็กน้อย พูดกับเค้าครั้งสุดท้าย “ซักวันเราคงได้เจอกันอีก” น้ำตาและหยาดเหงื่อหยดลงพร้อมกับก้อนดินที่ร่วงหล่นลงหลุมจนท่วมมิดร่าง….

ไม่มีเจ้าหมาตัวเล็กสีดำที่มาคอยเห่าขออาหารยามที่กินไก่ย่างอีกแล้ว
ไม่มีเจ้าแสนซนที่ชอบวิ่งไปรอบๆ บ้านตอนตรบมือและชมว่าเค้าเก่งอีกแล้ว
ไม่มีเจ้าหญิงที่ชอบนอนบนเก้าอี้แทนการนอนบนพื้นเหมือนหมาตัวอื่นอีกแล้ว
ไม่มีเจ้าแสบที่แอบมากินน้ำในแก้วตอนทุกคนล้อมวงกันกินข้าวอีกแล้ว
ไม่มีเจ้าดื้อที่ชอบหนีตอนเรียกอาบน้ำอีกแล้ว
ไม่มีเจ้าขี้หวงที่จะมาเห่ากันท่าตอนที่เราเล่นกับหมาตัวอื่น และแอบมาหอมแก้มเราอีกแล้ว
และก็ไม่มีเจ้าขี้อ้อนในทุกเวลาที่ชอบมานอนหนุนขาหนุนตักอีกแล้ว

อยู่ให้รัก จากไปให้คิดถึง

ในรูป มิกกี้ และหนุงหนิง

สู่สุคติเถอะนะ มิกกี้

หลังจากที่ทำให้พวกเราทั้งครอบครัวมีทั้งสุข ทุกข์ สนุกสนาน ในยามที่มีเค้าอยู่ เค้าทำให้ผมอยากเลี้ยงหมามากขึ้น แต่ผมคิดว่าคงจะหาหมาแบบเค้าไม่ได้อีกแล้ว บ้านเราไม่ค่อยมีตังก์ ยามหมาป่วยก็รักษากันตามมีตามเกิด โชคดีที่หมาไม่ค่อยป่วย ค่าวัคซีนก็หมดไปเยอะ ก็แค่อยากให้เค้ามีชีวิตที่ดี หนุงหนิงก็เกือบตายเพราะโรคมดลูกอักเสบ ท้องบวม เมื่อไม่กี่เดือนก่อน โชคดีเจอหมอเก่ง ทำการผ่าตัดและหนุงหนิงแข็งแรง จึงยังอยู่กับเราต่อไปได้อีก หนุงหนิงมีลูก 5 ตัว ตายไป 3 เพราะโดนยาเบื่อหนูที่เค้าวางไว้เบื่อหนูตามคันนา มีหลาน 4 ตัว เหลือรอดเพียง 1 ตัว แข็งแรงดี

– จูเนียร์เสียชีวิตเมื่อ 7 ปีก่อน ด้วยโรคชรา หมาผู้เป็นพ่อของมิกกี้และบัฟเฟอร์
– บัฟเฟอร์ จากไปด้วยโรคท้องโตหลังจากที่จูเนียร์เสียชีวิตไปไม่นาน
– มิกกี้ เสียชีวิตด้วยโรคชรา แรม 14 ค่ำ เดือน 9 วันที่ 24 สิงหาคม 2557

ทุกตัวน่าจะได้อยู่ด้วยกันแล้ว ผมหวังว่าอย่างนั้น

ปัจจุบันบ้านเรามีหมาหลายตัว โดย 5 ตัวเป็นครอบครัวหนุงหนิง (ลูกหนุงหนิง 2 ตัว หลาน 1 ตัว) รับมาเพิ่มเมื่อปลายปีก่อน 1 ตัวเป็นพ่อพันธุ์บางแก้วผสม สรุปเป็นเชื้อ บางแก้วผสมโกลเด้น รีทิฟเวอร์
มีบริจาคมาจาก รพ.คลองหลวง 1 ตัว (MidRoad) เมื่อสองสามเดือนก่อน
มีพลัดหลงมา อยู่ดีๆ ก็มาอาศัยแบบทำเนียนตามรถแมคโฮมา 1 ตัว พอเค้าทำงานเสร็จก็ไม่ยอมกลับ คิดว่าจะอยู่ยาว 1 ตัว (MidRoad) ต้นปีที่แล้ว (โชคดีไล่กลับไปได้ 2 ตัว)
รวมทั้งหมด 7 ตัว

สำหรับผม เหลือเพียงหนุงหนิงตัวเดียวที่จะคอยรักและห่วงใยอยู่เสมอ